รู้จักวิธีปะยางรถยนต์ ค่าปะยางรถยนต์ เพื่อรับมือกับปัญหายางรถรั่ว
ปัญหารถยางแบนถือเป็นปัญหาที่พบบ่อย เกิดขึ้นได้กับผู้ใช้รถทุกคน ถ้าเผลอยางรถรั่ว ควรเลือกใช้วิธีปะยางรถยนต์แบบไหน ค่าปะยางรถยนต์เท่าไหร่ มาดูกัน
ปัจจุบันปะยางรถยนต์แบ่งออกเป็น 3 วิธี ประกอบด้วย แบบสตีมร้อน แบบสตีมเย็น และแบบแทงใยไหม โดยมีรายละเอียดดังนี้
อ่านเพิ่มเติม
-
วิธีปะยางรถยนต์แบบสตีมร้อน
วิธีปะยางรถยนต์แบบสตีมร้อนเป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ซึ่งเป็นการอุดรอยรั่วด้านในของตัวยาง โดยการใช้แผ่นยางขนาดเล็กมาแปะไว้ที่รอยยางรถรั่ว หลังจากนั้นใช้เครื่องกดความร้อนเพื่อสมานเนื้อยางให้กลายเป็นเนื้อเดียวกัน วิธีนี้จำเป็นต้องถอดยางออกมาก่อน แต่มีความทนทานมากกว่าการวิธีปะยางรถยนต์แบบแทงใยไหม และสามารถใช้ยางต่อได้จนกว่าจะหมดสภาพ
ปะยางรถยนต์แบบสตีมร้อน
ข้อเสียของวิธีปะยางรถยนต์แบบสตีมร้อน คือ ทำให้เนื้อยางบริเวณนั้นแข็ง และในอนาคตมีโอกาสจะบวมได้
ค่าปะยางรถยนต์แบบสตีมร้อน 150-300 บาท/แผล
-
วิธีปะยางรถยนต์แบบสตีมเย็น
วิธีปะยางรถยนต์แบบสตีมเย็นมีขั้นตอนคล้ายกับการสตีมร้อน โดยเป็นการอุดรอยรั่วจากด้านใน เริ่มต้นจากการขัดผิวยางรอบรูรั่วให้สาก และทากาวแบบพิเศษลงไป จากนั้นจึงแปะแผ่นยางขนาดเล็กเพื่ออุดรอยยางรถรั่ว แล้วทุบให้แน่น วิธีนี้ให้ความทนทานไม่ต่างกับการสตีมร้อน และสามารถใช้ยางจนกว่าจะหมดสภาพ
ปะยางรถยนต์แบบสตีมเย็น
ค่าปะยางรถยนต์แบบสตีมร้อน 150-300 บาท/แผล
-
วิธีปะยางรถยนต์แบบแทงใยไหม
วิธีปะยางรถยนต์แบบแทงใยไหมเป็นการปะยางรถที่เหมาะสำหรับใช้ชั่วคราวเพื่อให้สามารถไปถึงจุดหมายหรือร้านปะยางใกล้ ๆ โดยปลอดภัย และเป็นวิธีใช้สำหรับรถจักรยานยนต์เป็นส่วนมาก เนื่องจากหาซื้ออุปกรณ์ได้ง่าย ทำเองได้ ใช้เวลาไม่นาน และไม่จำเป็นต้องถอดล้อออกมาเหมือนการปะยางด้วยวิธีอื่น
ปะยางรถยนต์แบบแทงใยไหม
สำหรับการปะยางแบบแทงไหม ก่อนอื่นจะต้องดึงสิ่งที่ทิ่มเนื้อยางออกมา ถัดมานำอุปกรณ์ที่มีลักษณะเป็นแท่งยาวมาแทงเพื่อขยายรูให้กว้างขึ้น แล้วนำใยไหมมาแทงเข้าไปอีกครั้งเพื่ออุดรูรั่ว ใช้กรรไกรเพื่อตัดส่วนที่ยื่นออกมา แค่วนั้นก็เรียบร้อยแล้ว แต่วิธีนี้เหมาะสำหรับการปะยางเพียงชั่วคราว เพราะโอกาสยางรถรั่วยังสามารถเกิดขึ้นได้
ค่าปะยางรถยนต์แบบแทงไหม 70 - 100 บาท/แผล
หลังจากที่ได้อ่านบทความนี้แล้วคุณสามารถเลือกวิธีปะยางรถยนต์ที่เหมาะสมสำหรับรถของคุณเองได้แล้ว แต่ก็ควรหมั่นสังเกตยางรถอยู่เสมอ เพื่อจะได้ไม่เกิดเหตุการณ์ยางรถรั่วซึมกลางทางจนอาจเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้